เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๔ ธ.ค. ๒๕๖๒

เทศน์เช้า วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๒

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต


ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี


ตั้งใจฟังธรรมะ สัจธรรม ที่ว่าธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ เพราะเห็นว่าธรรมชาติมันยิ่งใหญ่ มันมหัศจรรย์ แต่เวลาคนที่ประพฤติปฏิบัติไปแล้ว ธรรมะมันเหนือธรรมชาติ

มันเหนือธรรมชาติเพราะอะไร

เพราะมันพ้นออกไปจากวัฏฏะ มันพ้นออกไปจากธรรมชาติ พ้นออกไปจากการเปลี่ยนแปลง มันเป็นวิวัฏฏะ วิวัฏฏะมันเลอเลิศ เลอเลิศเพราะมันไม่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเที่ยวสวนเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย

คนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย คนเกิดมาจนเป็นหนุ่มไม่รู้จักคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย มันมหัศจรรย์ขนาดไหน คำว่า “มหัศจรรย์” คือว่าเขาไม่เคยเห็นน่ะ

ทั้งๆ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ไปเรียนตักศิลานะ เรียนวิชา ๑๘ เรียนไว้ มกุฎราชกุมารจะปกครองแผ่นดิน พ่อแม่เตรียมไว้ขนาดไหน พ่อแม่ต้องเตรียมไว้เพราะเขาจะเป็นกษัตริย์ มีการศึกษามาขนาดนั้นนะ แต่ไม่รู้จักคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย เพราะว่าการอบรม การบ่มเพาะ การอุ้มชู การสนับสนุน ไม่ให้เห็นอย่างนี้เลย เพราะว่าพระเจ้าสุทโธทนะ พราหมณ์ร้อยแปดพยากรณ์แล้ว ถ้าออกบวชจะได้เป็นศาสดา ถ้าครองเรือนจะได้เป็นจักรพรรดิ

พ่อแม่ก็อยากให้เป็นจักรพรรดิไง ลงทุนลงแรงขนาดนั้นน่ะ อบรมบ่มเพาะไม่ให้รู้ให้เห็นการเกิด การแก่ การเจ็บ การตายเลย

พอไปเที่ยวสวนนะ ไปเที่ยวสวนไปเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย ถามมหาดเล็กเลย เราต้องเป็นอย่างนั้นด้วยหรือ

ถ้าเป็นอย่างนั้น ถ้าเป็นอย่างนั้น จะเป็นสิ่งใดก็แล้วแต่มันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ถ้ามันมีการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย มันต้องมีฝั่งตรงข้ามที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย

จิ๋นซีฮ่องเต้พยายามจะหายาสมุนไพรไม่ให้ตายน่ะ มันก็ตาย แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นพบนะ ค้นพบว่าไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย แต่การค้นพบนั้น การค้นพบนั้นยิ่งใหญ่ เห็นไหม

วันนี้วันพระ วันพระ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นแก้วสารพัดนึก เป็นรัตนตรัยของเรา ถ้าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นแก้วสารพัดนึกของเรานะ คนที่มันเข้าได้ลึกซึ้ง เข้าได้การประพฤติปฏิบัติ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาท่านบรรลุธรรม เวลาหลวงปู่มั่นท่านพูด ประวัติหลวงปู่มั่น หลวงตาท่านบอก เวลาหลวงปู่มั่นท่านสิ้นกิเลส พระอรหันต์ในสมัยพุทธกาลมาอนุโมทนาๆ พระพุทธเจ้ามาอนุโมทนา ว่าอย่างนั้นเลย แต่เขาไม่กล้าพูด แล้วมันพูดกันไม่ได้

พอพูดกันไม่ได้ขึ้นมาแล้ว พอพูดแล้วมันต้องเป็นการตรวจสอบแล้ว เป็นวิทยาศาสตร์ ต้องทดสอบแล้ว แม้แต่ฝัน ฝันยังเอามาตีความกันไม่จบไม่สิ้น แล้วเป็นความจริง นกมันบิน คนมีบุญ คนมีบุญ คนสร้างอำนาจวาสนามาขนาดนั้นน่ะ มันเป็นเรื่องธรรมดา นกมันบิน

นกบินไม่มีใครสงสัยเลยนะ แต่เวลานกกระจอกเทศมันบินไม่ได้ ทำไมไม่วิเคราะห์วิจัยมันล่ะ

นี่ก็เหมือนกัน คนที่มีบุญกุศล คนที่สร้างคุณงามความดีมานะ มันเป็นเรื่องธรรมดา ธรรมดาหัวใจมันยิ่งใหญ่ ถ้าหัวใจมันยิ่งใหญ่ เวลาออกประพฤติปฏิบัติๆ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเราท่านปฏิบัติ ปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลามันบรรลุธรรมเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไปมันมหัศจรรย์ๆ

เราจะบอกว่า วันพระถ้ามันสำคัญ สำคัญกับคนที่ประพฤติปฏิบัติ คนที่เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก คนที่รู้จริงเห็นจริงในใจของตน มันลึกลับซับซ้อนกว่าประเพณีวัฒนธรรมที่เราเห็นกันอยู่นี่มากมายมหาศาล มันถึงยิ่งใหญ่ไง

ถ้าว่ายิ่งใหญ่ๆ ยิ่งใหญ่นะ คนชาวพุทธมากมายมหาศาล ทำบุญกุศลมหาศาลเลย “ทำบุญไม่ได้บุญๆ”

ทำบุญต้องได้บุญ

เวลาอากาศร้อน ความร้อนของอากาศมันลอยตัวขึ้น ความเย็นมันไหลมา มันเกิดสภาวะอากาศมันเปลี่ยนแปลงโดยกฎธรรมชาติ ทำความดี ทำความดีมันจะไม่ได้ความดีได้อย่างไร มันได้ความดีทั้งสิ้น แต่เราคาดหวังกันไง เราคาดหวัง เห็นไหม

เมืองไทยเป็นเมืองในประเทศอันสมควร พวกวาตภัย พวกภัยธรรมชาติน้อยมาก ความน้อยมากเพราะมันอยู่จุดศูนย์กลางไง เวลาจุดศูนย์กลางของทวีป เวลาพายุเข้ามามันเข้าเวียดนามก่อน ผ่านเขมรมา พอเข้าเมืองไทยกลายเป็นธรรมดาเลย

มันมาจากทางเบงกอล เข้ามากระทบพม่าก่อน กว่าจะมาถึงเมืองไทย เวลาหนาวมาจากเมืองจีน ผ่านเมืองจีนมาก่อน นี่ไง เราเกิดในประเทศอันสมควร เราเกิดในประเทศอันสมบูรณ์ ถ้าเกิดสมบูรณ์อย่างนี้ เราเกิดมาแล้ว เราเกิดในประเทศอันสมควรแล้ว สิ่งที่เป็นประโยชน์กับเราๆ มันเลยไม่เห็นคุณค่าไง

แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเรานะ เวลาพระธุดงค์ พระธุดงค์เขาธุดงค์ไปทั่ว เวลาธุดงค์ไป เห็นอัตคัดขาดแคลน เห็นคนมั่งมีศรีสุข เห็นมาหมดน่ะ นี่เห็นโลก เห็นโลกไง โลกมันเป็นแบบนั้นไง ถ้าโลกเป็นแบบนั้น เรื่องของโลก ประเพณีวัฒนธรรม ถ้าชาวพุทธ ถ้าเป็นเรื่องศรัทธาความเชื่อๆ ถ้ามีความเชื่อแล้วมีอำนาจวาสนานะ ถ้าไม่มีอำนาจวาสนานะ ทำบุญเสียเปล่า ไหว้เจ้าได้กิน ทำบุญเสียเปล่า ทำบุญเสียเปล่า

การเสียสละ เราให้ไป เราให้มันจบ นั่นน่ะของจริง ไหว้เจ้าๆ ไหว้เจ้าเสร็จแล้วเราก็ไปลากลับมา ทำบุญเสียเปล่า ไหว้เจ้าได้กิน แต่คนที่เขาเสียเปล่าๆ เขาเสียเปล่าเพื่อสังคม เขาเสียเปล่าเพื่อประโยชน์ เขาทำคุณงามความดีของเขา นั่นเสียจริงๆ ทานเสียสละจริงๆ ถ้าเสียสละจริงๆ ขึ้นไปนะ

เวลาครูบาอาจารย์เราท่านประพฤติปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ของเรานะ สละชีวิตเลยล่ะ เวลากิเลสมันปลิ้นมันปล้อนนะ เวลาภาวนาไปแล้วมันเข้าด้ายเข้าเข็ม “ตายแล้ว ตาย จะตาย” นี่กิเลสมันหลอก

แต่เวลาธุดงค์ไป เผชิญภัยไป มันก็มีเหตุการณ์วิกฤติทั้งสิ้นทั้งนั้นน่ะ นี่มันเผชิญไปไง เผชิญกับสัจจะความจริง มันแก้ไขความจริง มันการฝึกหัดปัญญา มันแก้ไขของมันขึ้นมา

เวลาภาวนาไปแล้วถ้ามันดีงามขึ้นมามันสูงส่งมาก ถ้ามันไม่รอบคอบนะ เดี๋ยวมันเสื่อมหมดเลย เวลามันเสื่อมหมดเลยมันจะฟื้นฟูอย่างไร

การฟื้นฟูอย่างไร ครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติมาแล้ว เจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ ถ้ามันไม่เจริญจะเอาอะไรมาเสื่อม

ไอ้ของเราไม่มีอะไรเจริญเลย “ทำบุญแล้วไม่ได้บุญ ปฏิบัติแล้วปฏิบัติไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้”

การเกิดเป็นคนน่ะ เราอยู่ในประเทศอันสมควร อากาศปลอดโปร่ง อยู่ในป่าในเขา

เวลาครูบาอาจารย์ท่านไปประพฤติปฏิบัตินะ อากาศที่เบาบาง อากาศที่มันปลอดโปร่ง เขาหาสิ่งนั้นไง อยู่ในถ้ำมันอับมันชื้นอย่างนี้ ท่านก็แสวงหา เพราะการภาวนาไป มันนั่งของมันไป เวลาคนภาวนามันก็ดีดดิ้นในใจนะ “ไม่มีคนช่วยเหลือ ไม่มีคนชี้แจง ไม่มีคนคอยทะนุบำรุง”

กิเลสบำรุง กิเลสมันทิ่มมันตำ มันทำให้ล้มเหลวนั่นน่ะ

ถ้าเรากำหนด เห็นไหม วันนี้วันพระ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เราพุทโธๆ เราประพฤติปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ทั้งๆ ที่เวลาการปฏิบัติแล้วเวลาเป็นสมาธิก็เป็นสมาธิในใจนี้ เวลามันเกิดภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากจิตนะ ไม่ใช่ปัญญาเกิดจากสมอง

โดยธรรมชาติของคน โดยธรรมชาติของคนมันผ่านสมอง สมองควบคุมร่างกายนี้ นี่มันผ่านสมอง มันผ่านมากี่ชั้นน่ะ เวลาปัญญาเกิดจากจิต ติ้วๆๆ ในใจน่ะ คนที่ไปเห็นแล้วมันมหัศจรรย์ ความมหัศจรรย์อันนั้นน่ะมันสำคัญ

มันสำคัญว่า ถ้าคนภาวนาเป็นต้องเห็นอย่างนี้ ถ้าคนภาวนาเป็นต้องเห็นภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนา

ทำสมาธิ พลังจิตๆ

พลังจิตนะ ฤๅษีชีไพรมันก็ทำ มันเป็นมิจฉาหรือเป็นสัมมา

ถ้ามันเป็นมิจฉา มิจฉานี่ไสยศาสตร์ไง มิจฉามันก็ออกไป มิจฉาเพราะอะไร มิจฉาเพราะกิเลสมันเฟื่องฟูไง ทำสมาธิก็ทำสมาธิไง แต่ไม่ใช้ปัญญาฆ่ากิเลสไง

ทำสมาธิ คนมีอำนาจวาสนาขึ้นมามันก็ทำสมาธิของมันได้ แต่ทำแล้วมันไม่เป็นสัมมาสมาธิ มันไม่ยกขึ้นสู่วิปัสสนาไง สมาธิเป็นสมาธิ สมาธิแก้กิเลสไม่ได้ แต่เวลาคนเขาทำ สมาธิแก้กิเลสไม่ได้ พวกอภิธรรมก็บอก “โอ๋ย! สติปัฏฐาน ๔ การเคลื่อนไหว การเหยียด การคู้ รู้พร้อมหมด”

โลกียปัญญา ปัญญาจินตนาการทั้งสิ้น

ทำความสงบของใจเข้ามา การทำความสงบของใจเข้ามา ใครทำความสงบของใจได้ คนนั้นยิ่งใหญ่ในใจของตน ยิ่งใหญ่ในใจของตนคือเอาใจของตนไว้ในอำนาจของตน

เวลามันฟุ้งมันซ่าน มันเครียด มันทุกข์มันยาก นี่กิเลสมันเฟื่องฟู มันเหยียบย่ำมันทำลายหัวใจเราทั้งสิ้น ความคิดเรา การกระทำของเรามันทำลายตัวเราโดยที่เราไม่รู้ตัวเลย แต่เพราะเรามีบุญกุศล เราได้เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เวลาพระพุทธศาสนาสอนให้ทำความสงบของใจเข้ามาก่อน ถ้าทำความสงบของใจเข้ามาก่อน ไอ้ความเฟื่องฟูของกิเลสมันสงบตัวลง มันสงบตัวลง มันสงบตัวลง

พอมันสงบตัวลง เห็นไหม เวลาคนที่ใช้ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่ไม่เจือไปด้วยสมุทัย ไม่เจือไปด้วยกิเลสไง ไม่เจือไปด้วยกิเลส กิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตน อวิชชาคือความไม่รู้ในใจของตน มันคิดอะไรก็แล้วแต่ อวิชชามันมาพร้อมน่ะ แต่ทำความสงบของใจเข้ามาให้ใจมันสงบระงับเข้ามา เวลาฝึกหัดใช้ปัญญา ถ้าใจสงบแล้วเป็นสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิยกขึ้นสู่วิปัสสนา ถ้าวิปัสสนา วิปัสสนาใช้ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนา ปัญญาเกิดจากการภาวนามันเกิดที่ไหน

มันเกิดที่จิต ปฏิสนธิจิตๆ จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะนี่แหละ

แต่โดยธรรมชาติของมนุษย์มันมีสมองไง ธรรมชาติของมนุษย์มันมีปัจจุบัน ความรู้สึกนึกคิดอันนี้ไง ความรู้สึกนึกคิดนี้มันเป็นผลบุญกุศลที่เราได้เกิดเป็นมนุษย์ไง พอเกิดเป็นมนุษย์ เราจะต้องรื้อค้น ค้นคว้าเข้าไปสู่จิตของตนไง

เวลาเข้าไปสู่จิตของตน เพราะจิตตัวนั้นเป็นผู้ที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แต่เราเกิดเป็นมนุษย์แล้ว สถานะของมนุษย์ มนุษย์ตั้งแต่เกิด แก่ เจ็บ ตาย เกิด แก่ เจ็บ ตายเพราะผลบุญกุศลของเดิม เวลาในปัจจุบันแล้วถ้าเราได้สร้างคุณงามความดี ถ้าเป็นบุญกุศลก็ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม มันต้องเกิดต่อไป ถ้าทำสิ่งใดมันต้องเกิดต่อ มันไม่มีวันจบวันสิ้นไง

แต่ถ้ามันจบมันสิ้น เห็นไหม จิตสงบก่อน สัมมาสมาธิ พอเป็นสัมมาสมาธิแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา ถ้ายกขึ้นสู่วิปัสสนา เวลาปัญญามันเกิดนะ จะไม่พูดสิ่งที่พูดกันเจื้อยแจ้วอยู่นี่หรอก นกแก้วนกขุนทอง “ขุนทอง แก้วจ๋า แก้วจ๋า” ได้กล้วยทุกวันเลย มึงก็ได้แค่กล้วยนั่นแหละ มันจะได้อะไร

แต่ถ้าได้หัวใจสิ ได้หัวใจของเราเองด้วย มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก ไม่มีใครทำให้ใครได้ แต่บุคคลคนนั้นต้องฝึกหัด ต้องค้นคว้าเข้าไปสู่ใจของตน ถ้าเข้าไปสู่ใจของตน นี่สัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิคือการเอาชนะตนเองได้ การควบคุมตนเองได้

เราเกิดมา พญามาร ครอบครัวของมารมันอาศัยหัวใจเราขับถ่าย แล้วมันก็ขับดันให้เราเดินไปข้างหน้า ทำสิ่งใดก็แล้วแต่ด้วยความช่วยตัวเองไม่ได้ แต่เพราะเราเป็นชาวพุทธ เรามาวัดมาวา เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้มีการกระทำ ให้มีการเสียสละ ให้มีทาน ศีล ภาวนา เราก็ทำคุณงามความดีของเรา

แล้วว่า ทำดีไม่ได้ดี ทำดีไม่ได้ดี มันเป็นไปไม่ได้

ทำดีได้ดี ดูสิ พระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย จะเป็นพระโพธิสัตว์ขึ้นมา ท่านก็ได้สร้างของท่านมาทศชาติ ๑๐ ชาติ ศีลบารมี ทานบารมี เนกขัมมบารมี บารมีสิบทัศสมบูรณ์แบบ ถึงได้มาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง

ไอ้พวกเราขี้ทูดกุดถัง เวลาทำอะไรก็ไม่มีอำนาจวาสนาที่จะมีสติสัมปชัญญะยืนตัวของจิตได้ ไหลไป ไหลไปกับกระแส ไหลไปกันหมดนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงสอนกาลามสูตร ไม่ให้เชื่อๆ ไม่ให้เชื่อใครทั้งสิ้นนะ

ดูหัวใจของตน ดูหัวใจของตน

ถ้าหัวใจของตน ทำความสงบของใจเข้ามาได้นะ ถ้าคนที่ไม่มีอำนาจวาสนาบารมีมันก็มหัศจรรย์ในความเป็นสมาธิมัน ทั้งๆ ที่ปากมันบอกนะว่าสมาธิแก้กิเลสไม่ได้ สมาธิไม่สำคัญต่างๆ แต่ถ้าเป็นสมาธิมันยังงงเลย บอก อ๋อ! นิพพานเป็นอย่างนี้เอง

มันว่าเป็นนิพพานน่ะ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้หรอก แค่มันสงบระงับเข้ามาเท่านั้นน่ะ เพราะอะไร เพราะอำนาจวาสนาที่ว่า ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขยนี่แหละ

ถ้าได้สร้างอำนาจวาสนามาน้อย ไม่มีหลักการ มันไม่สามารถมีสัจจะมีความจริงกับจิตตัวเองได้ หลงใหลได้ปลื้มไปกับใจของตนทั้งนั้นน่ะ

เวลาครูบาอาจารย์ท่านถึงคอยชี้ คอยบอก คอยแนะไง ถ้าจิตสงบแล้วรักษาให้ดี รักษาให้ดีนะ เวลาสงบแล้วมีความสุขไง ถ้ามีความสุขนะ คนเคยทุกข์เคยยาก เวลามันปล่อยวางแล้วมันมีความสุขมาก เวลามีความสุขแล้ว เดี๋ยวพอมันเสื่อมมาแล้ว มาทำไม่ได้มันก็กระเสือกกระสน

เวลากระเสือกกระสน เวลาคนมันทุกข์มันยาก มันทุกข์มันยากเพราะการกระทำนี่แหละ แต่พอกระทำจนมีความชำนาญๆ

คนเจ็บไข้ได้ป่วยหนหนึ่ง เรารักษาตัวเราหายได้หนหนึ่ง เราป่วยไข้ครั้งที่ ๒ เราก็รู้วิธีการรักษาครั้งที่แล้วเราทำอย่างไร แล้วพอรักษาหาย มันป่วยครั้งที่ ๓ รักษาไป

เหมือนกัน ทำความสงบของใจเข้ามา เวลามันเสื่อม เสื่อมแล้วเสื่อมเล่าๆ ล้มลุกคลุกคลานอยู่อย่างนั้นน่ะ แต่คนเคยป่วยแล้วคนเคยหายมันรู้ว่ามันป่วยได้หายได้ จิตมันฟุ้งซ่าน จิตมันทุกข์มันยากขึ้นมา มันฟุ้งซ่านได้มันต้องสงบได้ เวลามันสงบแล้วเดี๋ยวมันเสื่อมมา มันเสื่อมมาแล้วเราจะแก้ไขอย่างไร เราจะทำของเราอย่างไรถ้ามันเสื่อมขึ้นมา

นี่ไง ชำนาญในวสีไง การเข้าและการออก

สมาธิมีเข้า มีออกด้วยหรือ

แล้วที่คนที่เข้าที่ออกมันคืออะไรล่ะ เวลามันเข้า มันเข้าอย่างไร มันรู้ของมัน มันต้องทำของมันได้ ถ้ามันไม่เข้าไม่ออก เวลามันทุกข์ทำไมรู้ได้ เวลามันสุขทำไมรู้ได้ เวลามันฟุ้งซ่านทำไมรู้ได้ เวลามันปล่อยวางเข้ามา  รู้ไม่ได้ ก็สติมันอ่อนไง

ฝึกหัด ฝึกหัดจนมันเข้มแข็ง มันมีความชำนาญของมัน พอมีความชำนาญของมัน นี่ชำนาญในวสี พอชำนาญในวสี พอรักษาไว้ที่มั่นคงแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา เวลาปัญญามันเกิดอันนั้นน่ะ

ไม่ใช่จรณะ ๑๕ ๑๘ ๒๐ ไอ้นั่นสัมโพชฌงค์ ไอ้นั่นมันข้อธรรมะ มันไม่เป็นความจริงหรอก

ความจริงเวลาจิตมันเห็น โอ้โฮ! มันถึงครูบาอาจารย์ท่านบอกไง ไม่เห็นกิเลส แก้กิเลสไม่ได้ ไม่รู้จักกิเลส แก้กิเลสไม่ได้

ไอ้นี่บอกเป็นพระอรหันต์นะ “แต่กิเลสเป็นนามธรรมนะ จะรู้มันได้อย่างไรมันเป็นนามธรรม”

แล้วจิตมันเป็นนามธรรมหรือ นี่เวลาคนไม่เป็นมันหลุด หลุดเพราะอะไร เพราะมันไม่เคยทำ คนไม่เคยทำ ไม่เคยเห็น ไม่รู้สิ่งใดสำคัญ สิ่งใดไม่สำคัญ สิ่งใดเป็นจุดตาย สิ่งใดเป็นจุดที่ต้องการแก้ไข

ไอ้นี่มันเหมือนกับชาวประมง ลากอวนไปทั่ว ลากอวนไปในท้องทะเลเลย ลาก ลากอยู่นั่นน่ะ นี่เหมือนกัน ไม่มีต้นไม่มีปลาย ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย แล้วมันได้อะไรขึ้นมาน่ะ

ได้ขยะ กวาดไปท้องทะเล กลับมาได้แต่ขยะ ขยะแล้วกิเลสมันปลิ้นมันปล้อนไง

แต่ถ้ามันเป็นความจริงนะ ขยะก็มนุษย์สร้าง ทุกอย่างมนุษย์สร้างทั้งสิ้น แล้วมนุษย์ก็พยายามจะปัดว่ามันจะไม่มีผลกระทบกับเรา มันจะไม่มีผลกระทบกับเรา

มันไม่มีผลกระทบกับเราตอนที่ต่อหน้านี่แหละ แต่มันมีผลกระทบกับสภาวะแวดล้อมทั้งหมด

อากาศ ทุกคนต้องหายใจทั้งสิ้น สภาวะแวดล้อมทุกอย่างมันกระทบไปหมดน่ะ ไม่มีใครไม่กระทบ กระทบทั้งสิ้น แต่มันกระทบเมื่อไหร่เท่านั้นน่ะ ใครโดนก่อน ชายฝั่งโดนก่อน แล้วพอมันแห้งแล้งขึ้นมา เดี๋ยวในแผ่นดินก็โดนหมด โดนทั้งสิ้น เพราะอะไร เพราะมันเกี่ยวเนื่องกันไปหมด

อิทัปปัจจยตา สิ่งนี้มีเพราะมีสิ่งนี้ มันเริ่มต้นจากสิ่งนี้ไง ชีวิตนี้มาจากไหน ชีวิตนี้มาจากไหน

ชีวิตนี้มาจากพ่อจากแม่ แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน ชีวิตนี้มาจากกำมือเราทั้งสิ้น เราเป็นคนทำมาทั้งสิ้น เราทำสิ่งใดมา มันจะตอบสนองกับจิตของเราทั้งสิ้น จิตของเราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะแต่ละภพแต่ละชาติ มันทำอะไรของมันมา แล้วมันทำแล้วมันซับอยู่ที่นั่น

ถ้าไม่ซับอยู่ที่นั่น พระโพธิสัตว์ต่อเนื่องมาได้อย่างไร ถ้ามันไม่ซับที่นั่น มันเป็นจริตนิสัยได้อย่างไร

เวลามันจริตนิสัยนะ เวลาภาวนาเขาถึงไปแก้ปมตรงนี้ไง มันสร้างอะไรมา มันยึดมั่นอย่างไรมา โทสจริต โมหจริต โลภจริต จริตของใครมันแก้ไขอย่างไร เวลาเป็นมรรคเป็นผลขึ้นมามันก็จะไปแก้ตามเหตุตามผลที่มันฝังอยู่ในใจนั้น ถ้ามันฝังอยู่ในใจนั้น สำรอกคายออก คายออก คายออก คายออกจนถึงจิตเดิมแท้นี้ผ่องใส

ผ่องใสคืออวิชชา ไอ้ว่างๆ ว่างๆ นั่นน่ะอวิชชาทั้งสิ้น

จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส

แล้วมันจะข้ามพ้นอย่างไรล่ะ มันผ่องใสแล้ว มันจะทำตัวมันอย่างไร นี่ไง ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ทำอย่างไร

เวลามีครูบาอาจารย์ขึ้นมานะ ครูบาอาจารย์จะให้อุบาย บอกตรงๆ มันเถียง ของมันถูก ของมันดี ของมันแน่ ของมันยอดเยี่ยมทั้งนั้น นี่เวลากิเลสมันบวกกิเลสเข้าไป แต่เวลาไปหาครูบาอาจารย์นะ มันก็ต้องพูดอย่างนั้นน่ะ มันพูดอย่างนั้นไง

เวลาหลวงตาท่านไปหาหลวงปู่มั่น “เราเคารพบูชาหลวงปู่มั่นสุดหัวใจ แต่เวลามันมีเหตุมีผลขึ้นมา เราเถียงด้วยความเคารพ”

คำว่า “เถียงด้วยความเคารพ” คือมันเป็นปมในใจ ใจมันรู้ ใจมันเห็น จะไปพูดอย่างอื่นก็ไม่ได้ ต้องพูดถึงประเด็นที่มันเป็นปมอันนี้ว่ามันเป็นอย่างนี้ ของจริง แน่นอน

แต่เวลาหลวงปู่มั่นท่านให้อุบายขึ้นมา หงายหลังเลยล่ะ หงายหลังทุกที บอกว่าหน้าแตกทุกทีเลย

แต่ถ้าเราไม่มีปมในใจ เราจะเอาอะไรไปถาม ไปถามเรื่องชาวบ้านใช่ไหม ไปนินทากาเลเรื่องคนอื่นใช่ไหม เรื่องของคนอื่นไม่ใช่เรื่องของเราไง

เวลามันทุกข์มันยากมันเรื่องของเรานะ เวลามันสงสัย มันสงสัยในใจดวงนี้นะ แต่ตอนนี้เราภาวนากันเราไม่สงสัยเพราะอะไร เพราะเราไม่เห็นกิเลสไง

“กิเลสเป็นนามธรรม จะเห็นมันได้อย่างไร”

เห็นมันไม่ได้ก็แก้มันไม่ได้อย่างไร

เวลามันรู้มันเห็นขึ้นมา สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสผ่านไป กามราคะ ปฏิฆะอ่อนไป เวลากามราคะ ปฏิฆะขาดจากหัวใจดั่งแขนขาด ดั่งแขนขาด เป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา

รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา

อวิชชาคือความไม่รู้ ไม่รู้ก็ถือตัวถือตนไง ว่าตัวเองแน่ ตัวเองยิ่งใหญ่ ตัวเองพ้นกิเลสไง ถ้ามันยังคิด มันยังพูดอยู่ นั่นน่ะกิเลสทั้งสิ้น เวลามันจะจบสิ้นกระบวนการอันนั้น จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นน่ะ จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้น

อยู่ในพระไตรปิฎกชัดๆ ทั้งสิ้น อยู่ในพระไตรปิฎกชัดๆ แล้วถ้าใครใจเป็นธรรมมันอ่านด้วยความเคารพ อ่านด้วยความเคารพ อย่าเอาความเห็นของเราเข้าไปบวก อย่าเอาความรู้ความเห็นของเรา อันนี้ถ้าไม่พอใจ ไม่ยอมรับ อันไหนพอใจ ว่าใช่

มันไม่ได้อ่านด้วยความเคารพ อ่านด้วยการพยายามจะยัดเยียดให้เป็นมุมมอง เป็นทัศนคติ เป็นความเห็นของตน แล้วก็ไปโม้นะ พุทธพจน์ๆ พุทธพจน์มันพอใจ

แต่ถ้ามันเป็นความจริงนะ อ่านด้วยความเคารพ แล้วค้นคว้าหาความจริงให้เป็นสัจจะความจริง พอเป็นความจริงขึ้นมา จบ พระอรหันต์ไม่มีการโต้การแย้งต่อกันทั้งสิ้น ผู้สิ้นกิเลสคือสิ้นกิเลสจากการกระทำ ไม่มีสิ่งใดมาโต้มาแย้งได้ ไม่มี แล้วก็ไม่โต้แย้งกับโลกด้วย โลกเป็นโลก

โลก เวลาหลวงตาท่านพูดไง พูดกับสังคมเหมือนกับพูดกับสัตว์

มันคนละภพ คนละมุมมอง คนละทัศนคติ คนละความเห็น ห่างกันไกลแสนไกล ห่างไกลกันมาก แต่เวลาคำพูดก็พูดโดยสมมุติอย่างนี้

ฉะนั้น เราฟังแล้ว เราฟังแล้วเราไปวินิจฉัย เพราะกาลามสูตร ไม่ให้เชื่อ ไม่ให้เชื่อ การเชื่อ เราก็ยอมจำนนกับกิเลสเราแล้ว

เชื่อ เรามีศรัทธา แต่ไม่เชื่อเรื่องที่ครูบาอาจารย์ท่านแสดง เราพยายามค้นคว้า ขวนขวาย แสวงหา ถ้าเป็นความจริงขึ้นมาแล้ว มันเป็นความจริง มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก

เวลาธรรมะฟาดหน้าผากกิเลส ฟาดหน้าผากเราแล้ว มันจบแล้ว พอมันฟาดใส่หน้าผากเรานี่ เรารู้ชัดๆ แล้วจะไปเถียงไปโต้แย้งกับใคร

แต่ที่ไม่โต้แย้งเพราะมันไม่เคยเห็นไง ไม่เคยเห็น อวดรู้ อวดเก่ง อวดฉลาด อวดยอดเยี่ยม นั่นโง่บัดซบ เอวัง